สาระย่อ ของ ปืน เชื้อโรค และเหล็กกล้า

อารัมภบทของหนังสือกล่าวถึงการสนทนาระหว่าง ศ.ไดมอนด์กับนักการเมืองปาปัวนิวกินีคนหนึ่งคือนายยาลีเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างอำนาจและเทคโนโลยีของคนพื้นเมืองปาปัวนิวกินีและชาวยุโรปผู้ได้ครอบครองแผ่นดินมาเป็นเวลานานถึง 200 ปี เป็นความแตกต่างที่คนทั้งสองไม่คิดว่ามาจากความเหนือกว่าทางพันธุกรรมของคนยุโรปนายยาลีได้ถามว่า ทำไมคนผิวขาวจึงได้พัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ได้เป็นจำนวนมากแล้วนำมาสู่เกาะนิวกินี แต่คนพื้นเมืองผิวดำกลับมีสิ่งเหล่านี้น้อยกว่า[2]:14ศ.ไดมอนด์ จึงตระหนักรู้ในเวลานั้นว่า คำถามเช่นเดียวกันดูเหมือนจะใช้ได้ในที่อื่น ๆ คือ ทำไมคนที่มีแหล่งกำเนิดจากยูเรเชีย จึงได้ครองโลกทั้งในเรื่องทรัพย์สินและอำนาจคนอื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่ได้กำจัดความเป็นอาณานิคม ก็ยังล้าหลังกว่าในด้านทรัพย์สินและพลังอำนาจและก็ยังมีคนพวกอื่น ๆ อีกที่ได้ "ถูกทำลายอย่างล้างผลาญ ถูกพิชิต และในบางกรณีถูกล้างเผ่าพันธุ์โดยนักล่าอาณานิคมชาวยุโรป"[2]:15คือ คนในเขตต่าง ๆ (เช่นคนแอฟริกาใต้สะฮารา ชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกา ชนพื้นเมืองของออสเตรเลียและเกาะนิวกินี และชนพื้นเมืองในเอเชียอาคเนย์ก่อนยุคปัจจุบัน) ถูกพิชิต และถูกแทนที่และยังมีกรณีที่สุด ๆ บางกรณีซึ่งหมายถึงชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกา ชนพื้นเมืองออสเตรเลีย และชนพื้นเมืองแอฟริกาใต้เผ่า Khoisanที่ได้ถูกฆ่าไปจนเกือบหมดสิ้นโดยคนในสังคมเกษตรเช่นของคนยูเรเชียและคนบานทูศ.ไดมอนด์เชื่อว่า นี้เป็นเพราะความได้เปรียบทางเทคโนโลยีและระบบภูมิคุ้มกัน ที่เป็นผลจากการเกิดขึ้นเร็วกว่าของระบบเกษตรกรรมหลังจากยุคน้ำแข็งล่าสุด

ชื่อหนังสือ

ชื่อหนังสือมุ่งหมายถึงวิธีที่คนจากสังคมเกษตรได้พิชิตคนในเขตอื่น ๆ และธำรงรักษาความยิ่งใหญ่กว่า แม้ว่าบางครั้งจะมีคนน้อยกว่ามากซึ่งก็คือ

ศ.ไดมอนด์ได้อ้างว่า ลักษณะภูมิประเทศ อากาศ และสิ่งแวดล้อม ที่ช่วยให้เกิดพัฒนาการของสังคมเกษตรที่มั่นคงอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเป็นเหตุให้เกิดภูมิคุ้มกันต่อโรคที่ประจำอยู่กับปศุสัตว์ และพัฒนาการของรัฐที่ทรงพลังอำนาจและมีการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นเหตุทำให้สามารถเป็นใหญ่เหนือชนกลุ่มอื่น ๆ ได้

โครงสร้างทฤษฎี

ศ.ไดมอนด์อ้างว่า อารยธรรมยูเรเชียไม่ใช่ผลของความเฉลียวฉลาด แต่เป็นผลของโอกาสและความจำเป็น นั่นก็คือ อารยธรรมไม่ได้เกิดขึ้นเพราะคนฉลาดกว่า แต่เป็นผลของพัฒนาการแบบลูกโซ่ ซึ่งแต่ละห่วง ๆ เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อจะให้เกิดห่วงต่อไป

ขั้นแรกในการก้าวไปสู่ความเป็นอารยธรรมก็คือการเปลี่ยนจากการทำกินแบบล่าสัตว์-เก็บพืชผลที่ย้ายที่ไปเรื่อย ๆ ไปสู่สังคมเกษตรที่อยู่กับที่และก็มีปัจจัยต่าง ๆ ที่จำเป็นที่จะทำก้าวแรกนี้ให้เป็นไปได้คือ การมีพืชผักมีโปรตีนสูงที่ทนพอที่จะเก็บได้ ภูมิอากาศที่แห้งพอที่จะเก็บ และการมีสัตว์ที่มีคุณสมบัติเพื่อปรับเป็นสัตว์เลี้ยง และที่ยืดหยุ่นพอเพื่อจะดำรงอยู่ในชีวิตที่ถูกจับขังได้สมรรถภาพในการควบคุมพืชผลและปศุสัตว์ก็จะนำไปสู่ภาวะที่มีอาหารเหลือซึ่งสร้างอิสรภาพให้กับบุคคลบางพวกเพื่อจะสร้างความชำนาญในกิจกรรมนอกเหนือไปจาการดำรงรักษาและสนับสนุนการเติบโตของประชากรความชำนาญเฉพาะการและการเติบโตของประชากรรวมกันมีผลเป็นนวัตกรรมทางสังคมและเทคโนโลยีที่สนับสนุนส่งเสริมกันและกันสังคมที่ใหญ่ขึ้น ๆ จึงพัฒนาคนชั้นปกครองและสนับสนุนระบบข้าราชการประจำ ซึ่งในที่สุดก็นำไปสู่การปกครองระดับรัฐชาติและจักรวรรดิ[2]

แม้ว่าระบบเกษตรกรรมจะเกิดขึ้นเองในที่ต่าง ๆ ในโลก ยูเรเชียได้เปรียบในเบื้องต้นเพราะมีพืชและสัตว์พันธุ์ที่เหมาะในการเพาะปลูกและการปรับนำมาเลี้ยงมากกว่าโดยเฉพาะก็คือ ยูเรเชียมีข้าวบาร์ลีย์ มีข้าวสาลีสองประเภท มีถั่วที่สมบูรณ์ไปด้วยโปรตีนเป็นอาหาร มีฝ้ายทำเป็นเสื้อผ้า มีแพะ แกะ และวัวเป็นปศุสัตว์พืชผลยูเรเชียมีโปรตีนที่สมบูรณ์กว่า ง่ายกว่าที่จะหว่านปลูก และง่ายกว่าที่จะเก็บเมื่อเทียบกับข้าวโพดของชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกา หรือกล้วยของคนในเขตร้อน

นอกจากนั้นแล้ว เมื่ออารยธรรมเอเชียตะวันตกเริ่มค้าขาย ก็ได้พบสัตว์ที่มีประโยชน์อื่น ๆ ในเขตข้างเคียง ที่สำคัญที่สุดก็คือม้าและลาที่ใช้ในการขนส่งศ.ไดมอนด์ได้ระบุสัตว์ใหญ่ 13 พันธุ์ที่หนักกว่า 100 ปอนด์ ที่ปรับมาเลี้ยงในยูเรเชีย เทียบกับพันธุ์เดียวในอเมริกาใต้ (คือนับยามาและอัลปากาเป็นสัตว์พันธุ์เดียวกัน) และกับที่อื่น ๆ ในโลกที่ไม่มีเลยส่วนออสเตรเลียและอเมริกาเหนือไม่มีสัตว์ที่เป็นประโยชน์เพราะเหตุการสูญพันธุ์ โดยอาจจะเป็นเพราะการล่าสัตว์ของมนุษย์ในช่วงทันทีหลังจากสมัยไพลสโตซีนส่วนสัตว์เลี้ยงในเกาะนิวกินีทั้งหมด มาจากเอเชียตะวันออกในยุคการย้ายถิ่นฐานของคนออสโตรนีเซียนเมื่อประมาณ 4-5 พันปีก่อนส่วนสัตว์ตระกูลญาติของม้า รวมทั้งม้าลายและม้าสกุล "Equus hemionus" (onager) ไม่สามารถปรับนำมาเลี้ยงได้ และแม้ว่าช้างแอฟริกาจะเลี้ยงให้เชื่องได้ แต่ก็ยากมากที่จะเลี้ยงให้ออกลูกหลานในสถานะที่ถูกจับ[2][3]ศ.ไดมอนด์กล่าวถึงสัตว์พันธุ์ที่ปรับนำมาเลี้ยง 14 พันธุ์จาก 148 พันธุ์ที่อาจปรับได้ว่า แม้ว่าบางสปีชีส์ดูจะมีหวัง แต่ก็อาจจะมีองค์ประกอบอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างที่ทำให้ไม่สามารถปรับนำมาเลี้ยงได้

คนยูเรเชียได้เลี้ยงแพะและแกะเพื่อหนัง เสื้อผ้า และชีส, วัวตัวเมียเพื่อนม, วัวตัวผู้เพื่อการไถดินและการขนส่ง และสัตว์ไม่ดุร้ายอื่น ๆ เช่นหมูและไก่เพื่อเป็นอาหารส่วนสัตว์ที่ปรับนำมาเลี้ยงตัวใหญ่อื่น ๆ เช่นม้าและอูฐได้สร้างความได้เปรียบทั้งทางทหารและทางเศรษฐกิจเนื่องจากการขนส่งที่รวดเร็ว

ผลอย่างหนึ่งที่สำคัญแต่ไม่ได้ตั้งใจในการปรับสัตว์นำมาเลี้ยงก็คือ การแปรพันธุ์ของไวรัสสัตว์เลี้ยงมาเป็นไวรัสของมนุษย์โรคเช่นโรคฝีดาษ โรคหัด และไข้หวัดใหญ่ เกิดจากความใกล้ชิดกันระหว่างสัตว์และมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันอย่างแออัดและเพราะการได้รับเชื้ออย่างต่อเนื่อง การมีโรคระบาดเป็นระยะ ๆ แบบไม่ถึงกับทำลายล้างเป็นศตวรรษ ๆชาวยูเรเชียได้พัฒนาภูมิคุ้มกันระดับหนึ่งต่อโรคเหล่านี้และแม้ว่ามาลาเรียจะพิจารณาว่าเป็นจุลินทรีย์ที่อันตรายที่สุดต่อมนุษย์ แต่มันก็จำกัดอยู่เฉพาะเขตแต่ว่า โรคฝีดาษไม่จำกัดเขต ไม่ว่าชนยูเรเชียไปถึงที่ไหนก็ได้นำโรคนี้ไปด้วย

การมีแผ่นดินที่ใหญ่โตและความกว้างยาวในแนวทิศตะวันออก-ตะวันตกเป็นสิ่งที่เพิ่มความได้เปรียบเหล่านี้คือ ความกว้างใหญ่ของแผ่นดินทำให้มีพันธุ์พืชและสัตว์มากกว่าที่จะใช้เพาะปลูกและเลี้ยง และทำให้สามารถแลกเปลี่ยนทั้งนวัตกรรมและโรคกับชนเหล่าอื่น ๆ ได้ส่วนความกว้างยาวของทิศทางในแนวตะวันออก-ตะวันตก ช่วยให้พันธุ์สัตว์และพืชที่ดัดแปรให้ปลูกให้เลี้ยงได้จากที่หนึ่ง สามารถนำไปใช้ได้อีกที่หนึ่งที่มีภูมิอากาศและฤดูกาลที่คล้าย ๆ กันส่วนทวีปอเมริกามีปัญหาในการแปรพืชที่ใช้เพาะปลูกในละติจูดหนึ่งไปใช้กับอีกละติจูดหนึ่ง (และในอเมริกาเหนือ ในการแปรพืชที่ปลูกทางด้านหนึ่งของเทือกเขาร็อกกีไปปลูกอีกด้านหนึ่ง)และก็คล้าย ๆ กัน แอฟริกาถูกแบ่งออกเป็นเขต ๆ เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศอย่างฉับพลันจากทิศเหนือไปสู่ใต้และพืชผลและสัตว์ที่เจริญเติบโตได้ในบริเวณหนึ่ง ไม่สามารถถ่ายข้ามไปเขตอื่น ๆ ที่พวกมันสามารถเจริญเติบโตได้เพราะว่าไม่สามารถอยู่รอดได้ในบริเวณในระหว่าง ๆยุโรปเป็นเขตที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดของความกว้างยาวในทิศทางตะวันออก-ตะวันตก คือ ในพันปีแรกก่อนคริสต์ศักราช บริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของยุโรปได้เริ่มใช้สัตว์ พืช และเทคนิคเกษตรกรรมของเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ และในพันปีต่อมาหลังคริสต์ศักราช ยุโรปที่เหลือก็ได้ทำเช่นเดียวกัน[2][3]

การมีแหล่งอาหารที่สมบูรณ์และประชากรที่แน่นหนาทำให้สามารถแบ่งผู้ชำนาญการเป็นส่วน ๆ ได้ผู้ชำนาญการที่ไม่ใช่เกษตรกรเช่นช่างฝีมือและคนคัดลอกหนังสือ ได้เร่งความเติบโตทางเศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการได้เปรียบทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีเช่นนี้ ทำให้คนยุโรปสามารถพิชิตคนพวกอื่น ๆ ในทวีปต่าง ๆ ในศตวรรษที่ผ่าน ๆ มาโดยใช้ปืนและเหล็กกล้าตามที่ตั้งชื่อหนังสือ

ความแออัดของประชากร การค้าขายอย่างกว้างขวาง และการใช้ชีวิตใกล้กับปศุสัตว์มีผลให้โรคแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวาง รวมทั้งโรคจากสัตว์มายังมนุษย์การคัดเลือกโดยธรรมชาติมีผลให้คนยูเรเชียพัฒนาภูมิคุ้มกันต่อโรคต่าง ๆ มากมายและเมื่อคนยุโรปติดต่อกับคนอเมริกา โรคชนยุโรปที่คนอเมริกาไม่มีมีภูมิคุ้มกัน ได้ฆ่าคนพื้นเมืองอเมริกาจนเกือบหมดสิ้นโดยคนยุโรปไม่ได้ติดโรคจากคนอเมริกาส่วนการแลกเปลี่ยนโรคระหว่างคนยุโรปกับคนแอฟริกาและคนเอเชียใต้สมดุลกันมากกว่า คือ เขตที่มีโรคประจำถิ่นคือมาลาเรียและไข้เหลือง ได้ชื่อว่าเป็น "สุสานของคนผิวขาว"[4]และซิฟิลิสก็อาจจะมีกำเนิดในทวีปอเมริกา[5]ดังนั้น โรค "ของคนยุโรป" คือเชื้อโรคดังที่เป็นชื่อของหนังสือได้ทำลายล้างประชากรเผ่าต่าง ๆ จนกระทั่งว่าชาวยุโรปแม้จำนวนน้อยก็ยังสามารถมีอำนาจเหนือกว่าได้[2][3]

ศ.ไดมอนด์ก็ยังเสนอคำอธิบายโดยภูมิประเทศว่า ทำไมสังคมชาวยุโรปตะวันตก แต่ไม่ใช่สังคมมหาอำนาจอื่น ๆ เช่นจีน ที่ได้เป็นผู้ล่าอาณานิคมหลัก[2][6]คืออ้างว่า ภูมิประเทศของยุโรปเป็นใจให้ชนต่าง ๆ แบ่งออกเป็นรัฐชาติเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ กันโดยมีพรมแดนธรรมชาติเป็นภูเขา แม่น้ำ และฝั่งทะเลและภัยที่เกิดจากรัฐเพื่อนบ้านประกันรับรองว่า รัฐบาลที่มีนโยบายระงับความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีจำต้องแก้นโยบายนั้น ไม่เช่นนั้นก็จะแข่งกับรัฐเพื่อนบ้านไม่ได้ และมีผลเป็นสถานะที่รัฐชาติที่มีอำนาจมากที่สุดมักจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาในขณะที่วัฒนธรรมล้ำหน้าในเขตอื่น ๆ มีภูมิประเทศที่เป็นใจให้กลายเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ สมานเป็นหนึ่งเดียว และอยู่ได้อย่างโดดเดี่ยว โดยไม่มีคู่แข่งที่สามารถมีอิทธิพลให้แก้นโยบายที่ผิดพลาดบางอย่างได้ เช่น นโยบายห้ามการสร้างเรือมหาสมุทรของจีน (เพื่อห้ามโจรสลัด)ยุโรปตะวันตกยังมีภูมิอากาศแบบอบอุ่น (temperate) ไม่เหมือนกับเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ที่เป็นเขตแห้งแล้ง (arid) หรือกึ่งแห้งแล้ง (semi-arid) ที่การเกษตรแบบไม่หยุดยั้งในที่สุดก็ทำสิ่งแวดล้อมให้เสียหาย ทำให้ทะเลทรายขยายตัว และทำลายความอุดมสมบูรณ์ของดิน

เกษตรกรรม

หนังสืออ้างว่า เมืองและนิคมต้องอาศัยแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ จึงต้องอาศัยเกษตรกรรมและเมื่อเกษตรกรเป็นผู้ผลิตอาหาร บุคคลอื่นจึงจะมีอิสระในการทำกิจอื่น ๆ เช่นทำเหมืองหรือทำการเกี่ยวกับภาษาเขียน

อุปสรรคที่ชี้ขาดของการพัฒนาระบบเกษตรกรรมก็คือการมีพันธุ์พืชที่รับประทานได้หลาย ๆ พันธุ์ที่สามารถนำมาเพาะปลูกได้เกษตรกรรมเกิดขึ้นในบริเวณจันทร์เสี้ยวอันอุดม (Fertile Crescent) เพราะว่าบริเวณนั้นมีข้าวสาลีและถั่วป่าหลายพันธุ์ที่มีสารอาหารที่สมบูรณ์และง่ายต่อการนำมาเพาะปลูกโดยเปรียบเทียบกันแล้ว เกษตรกรในทวีปอเมริกาต้องพัฒนาข้าวโพดให้เป็นพืชผลที่ใช้เพาะปลูกได้ โดยน่าจะพัฒนามาจากพืชบรรพบุรุษที่เรียกว่า teosinte

ปัจจัยที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในการเปลี่ยนการใช้ชีวิตแบบล่าสัตว์-เก็บพืชผล ไปเป็นสังคมเกษตรที่อยู่ในเมืองก็คือ การมีสัตว์ที่ปรับนำมาเลี้ยงได้ขนาดใหญ่ เพื่อบริโภคเนื้อ เพื่อใช้ทำงาน และเพื่อการสื่อสารระยะไกลศ.ไดมอนด์ได้ระบุสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่เพียง 14 ชนิดเท่านั้นจากทั่วโลก และที่มีประโยชน์มากที่สุด 5 อย่างคือวัว ม้า แกะ แพะ และหมู ซึ่งล้วนแต่เป็นสัตว์มีต้นตระกูลในยูเรเชียและที่เหลืออีก 9 ประเภท มีเพียง 2 พันธุ์ คือยามาและอัลปากาในอเมริกาใต้เท่านั้น ที่อยู่ที่อื่นนอกเขตอบอุ่นของยูเรเชีย

เพราะว่าจะต้องมีปัจจัยพร้อมทุกอย่าง จึงมีสัตว์ไม่กี่อย่างเท่านั้นที่เหมาะสมในการปรับนำมาเลี้ยงศ.ไดมอนด์ระบุปัจจัย 6 อย่างรวมทั้งเป็นสัตว์ค่อนข้างว่าง่าย อยู่เป็นกลุ่มได้ สามารถสืบพันธุ์แม้ถูกจับได้ และมีลำดับชั้นทางสังคมดังนั้น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในแอฟริกาเช่นม้าลาย แอนทิโลป ควายป่าแอฟริกัน และช้างแอฟริกา จึงไม่สามารถปรับนำมาเลี้ยงได้คือแม้ว่าสัตว์บางชนิดจะเลี้ยงให้เชื่องได้ แต่ว่าจะไม่สืบพันธุ์ง่าย ๆ เมื่อถูกจับเหตุการณ์ที่ยังเป็นไปในปัจจุบันที่เรียกว่า เหตุการณ์สูญพันธุ์สมัยโฮโลซีน (Holocene extinction event) กำจัดสัตว์ใหญ่ ๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งถ้าไม่ได้สูญพันธุ์ไป ก็อาจจะเป็นสัตว์ที่ปรับนำมาเลี้ยงได้และ ศ.ไดมอนด์อ้างว่า รูปแบบการสูญพันธุ์รุนแรงกว่าในทวีปที่สัตว์ไม่เคยมีประสบการณ์กับมนุษย์ แล้วมาประสบกับพวกมนุษย์ที่มีเทคนิคก้าวหน้าในการล่าสัตว์ (เช่นในทวีปอเมริกาและออสเตรเลีย)

แม้ว่าสัตว์ที่ปรับนำมาเลี้ยงอื่น ๆ เช่นสุนัข แมว ไก่ และหนูตะเภา อาจมีประโยชน์อื่น ๆ ต่อสังคมเกษตรแต่สัตว์เหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้มีหรือรักษาสังคมเกษตรขนาดใหญ่ได้ตัวอย่างที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือการใช้สัตว์ใหญ่เช่นวัวและม้าในการไถดินทำให้มีพืชผลที่อุดมสมบูรณ์กว่า สามารถปลูกพืชได้หลายอย่างกว่า ในพื้นที่และในดินหลายอย่างกว่า ที่จะเป็นไปได้ถ้าใช้แต่กำลังมนุษย์อย่างเดียวสัตว์เลี้ยงขนาดใหญ่ยังมีบทบาทสำคัญในการขนส่งสินค้าและมนุษย์ในระยะไกล ๆทำให้สังคมที่มีสัตว์ดังกล่าวได้เปรียบทั้งทางทหารและทางเศรษฐกิจ

ภูมิประเทศ

ศ.ไดมอนด์อธิบายด้วยว่า ภูมิประเทศสามารถมีผลต่อการอพยพย้ายถิ่นฐานของมนุษย์อย่างไร โดยไม่เพียงแต่ทำให้การเดินทางยากลำบากขึ้นเท่านั้น (โดยเฉพาะโดยผ่านละติจูดต่าง ๆ) แต่มีผลต่อการแพร่กระจายของสัตว์เลี้ยงไปในเขตต่าง ๆ และมีผลต่อพืชที่สามารถขึ้นได้ง่ายในเขตที่มีแสงอาทิตย์เหมาะแก่ตนเท่านั้นมนุษย์ปัจจุบันเชื่อว่ามีแหล่งกำเนิดจากทางตะวันออกของหุบเขาเกรตริฟต์แวลลีย์ในทวีปแอฟริกา ไม่ใช่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง (ดู การย้ายถิ่นฐานของมนุษย์)และทะเลทรายสะฮาราทำให้มนุษย์ไม่สามารถอพยพไปทางทิศเหนือสู่บริเวณจันทร์เสี้ยวอันอุดม (Fertile Crescent) จนกระทั่งต่อมาในเวลาที่หุบเขาแม่น้ำไนล์เดินทางได้สะดวกขึ้นศ.ไดมอนด์ได้อธิบายประวัติพัฒนาการของมนุษย์มาจนกระทั่งถึงยุคปัจจุบันผ่านพัฒนาการอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี และผลเสียหายที่มีต่อวัฒนธรรมล่าสัตว์-เก็บพืชผลต่าง ๆ ทั่วโลกศ.ไดมอนด์กล่าวถึงว่า ทำไมประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดใน 500 ปีที่ผ่านมาจึงเป็นประเทศยุโรปตะวันตกแทนที่จะเป็นเอเชียตะวันออก (โดยเฉพาะจีน)คือในเขตเอเชียที่อารยธรรมใหญ่ ๆ บังเกิดขึ้นมีลักษณะภูมิประเทศที่เหมาะสมกับการสร้างจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ เสถียร และโดดเดี่ยวซึ่งไม่มีแรงกดดันจากภายนอกให้เปลี่ยนแปลงพัฒนาเปรียบเทียบกับยุโรปซึ่งมีเครื่องขวางกั้นทางธรรมชาติต่าง ๆ ที่ช่วยให้สามารถมีรัฐชาติต่าง ๆ ที่แก่งแย่งกันซึ่งมีผลให้สนับสนุนสร้างนวัตกรรมเพื่อหลีกเลี่ยงความนิ่งตายของเทคโนโลยี

เชื้อโรค

ในการยึดทวีปอเมริกาเป็นอาณานิคมของชาวยุโรป คนพื้นเมืองประมาณ 95% เชื่อว่าเสียชีวิตจากโรคที่คนยุโรปนำเข้าไปคำถามก็คือ แล้วทำไมโรคคนพื้นเมืองอเมริกาจึงไม่ฆ่าคนยุโรปที่เข้าไปยึดครองศ.ไดมอนด์เสนอว่า การมีประชากรที่แออัดยัดเยียดขึ้นที่สนับสนุนโดยเกษตรกรรมและการอยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยงอย่างใกล้ชิดทำให้มนุษย์ติดโรคจากสัตว์มีผลเป็นสังคมคนยุโรปที่ได้สะสมเชื้อโรคอันตรายเป็นจำนวนมากที่คนยุโรปได้สร้างภูมิคุ้มกันผ่านกระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (เช่นแบล็กเดทและโรคระบาดอื่น ๆ) ในช่วงเวลาที่ยาวนานกว่าที่คนพื้นเมืองทวีปอเมริกาทั้งที่เป็นผู้ล่าสัตว์-เก็บพืชผล และที่เป็นเกษตรกรจะมีโอกาสแม้ว่าจะมีโรคเขตร้อน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาลาเรีย) ที่จำกัดการแพร่อาณานิคมของคนยุโรปเข้าไปในแอฟริกาเป็นข้อยกเว้น

ความสำเร็จและความล้มเหลว

หนังสือเล่มนี้พุ่งความสนใจไปที่เหตุผลว่า ทำไมชนบางกลุ่มจึงประสบความสำเร็จ ส่วนหนังสือเล่มต่อมาของ ดร.ไดมอนด์คือ ล้ม! วิธีที่สังคมเลือกที่จะล้มเหลวหรือประสบชัยชนะ (Collapse: How Societies Choose to Fail or Succeed) พุ่งความสนใจไปที่ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมและปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้สังคมบางสังคมล้มเหลว นี่เป็นหนังสือแบบเป็นสารเตือน

แหล่งที่มา

WikiPedia: ปืน เชื้อโรค และเหล็กกล้า http://www.abc.net.au/rn/talks/bbing/stories/s7075... http://books.google.com/?id=ktn7LmLgc6oC http://www.imdb.com/title/tt0475043/ http://news.nationalgeographic.com/news/2005/07/07... http://www.newscientist.com/article/dn13186-columb... http://www.nybooks.com/articles/1132 http://query.nytimes.com/gst/fullpage.html?res=9C0... http://www.questia.com/PM.qst?a=o&se=gglsc&d=50018... http://www.columbia.edu/~lnp3/mydocs/Blaut/diamond... http://videosdigitals.uab.es/cr-vet/www/40300/1_2_...